วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เรื่องที่สนใจ


การบริหารสมอง (Brain Activation)

          การบริหารสมอง หมายถึง การบริหารร่างกายในส่วนที่สมองควบคุม โดยเฉพาะกล้ามเนื้อ corpus callosum ซึ่งเชื่อมสมอง 2 ซีกเข้าด้วยกัน ให้ประสานกัน แข็งแรง และทำงานคล่องแคล่ว จะทำให้การถ่ายโยงข้อมูลและการเรียนรู้ของสมอง 2 ซีกเป็นไปอย่างสมดุล เกิดประสิทธิภาพ และยังช่วยให้เกิดการผ่อนคลายความตึงเครียด ทำให้สภาพจิตใจเกิดความพร้อมที่จะเรียนรู้ เกิดความจำทั้งระยะสั้นและระยะยาว มีอารมณ์ขันเพราะคลื่นสมอง (brain wave) จะลดความเร็วลง คลื่นบีตา (beta) เป็นแอลฟา (alpha) ซึ่งเป็นสภาวะที่สมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด




1. การบริหารปุ่มสมอง ปุ่มขมับ ปุ่มใบหู

   ปุ่มสมอง


          ใช้มือซ้ายวางบริเวณใต้กระดูกคอและซี่โครงของกระดูกอก หรือที่เรียกว่าไหปลาร้า จะมีหลุมตื้นๆ บนผิวหนัง ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ คลำหาร่องหลุมตื้นๆ 2 ช่องนี้ซึ่งห่างกันประมาณ 1 นิ้ว หรือมากกว่านี้ ขึ้นอยู่กับขนาดร่างกายของแต่ละคนที่มีขนาดไม่เท่ากัน ให้นวดบริเวณนี้ประมาณ 30 วินาที และให้นำมือขวาวางไปที่ตำแหน่งสะดือ
          ขณะที่นวดปุ่มสมองก็ให้กวาดตามองจากซ้ายไปขวา ขวาไปซ้าย และจากพื้นขึ้นเพดาน จากนั้นให้เปลี่ยนมือด้านขวาทำเช่นเดียวกัน

   ►ปุ่มขมับ


     1. ใช้นิ้วทั้ง 2 ข้างนวดขมับเบาๆ วนเป็นวงกลม ประมาณ 30 วินาที ถึง 1 นาที
     2. กวาดตามองจากซ้ายไปขวา และจากพื้นมองขึ้นไปที่เพดาน

   ► ปุ่มใบหู


     1. ให้ใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้จับที่ส่วนบนสุดด้านนอกของใบหูทั้ง 2 ข้าง
     2. นวดตามริมขอบนอกของใบหูทั้ง 2 ข้างพร้อมๆ กัน ให้นวดไล่ลงมาจนถึงติ่งหูเบาๆ ทำซ้ำหลายๆ ครั้ง ควรทำท่านี้ก่อนอ่านหนังสือเพื่อเพิ่มความจำและมีสมาธิมากขึ้น

2. การเคลื่อนไหวสลับข้าง (cross crawl)

     ท่าที่ 1 นับ 1-10


 

     1. ยกมือทั้ง 2 ขึ้นมา
     2. มือขวา ชูนิ้วชี้ตั้งขึ้น นับ 1 มือซ้าย ให้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือขนานกับพื้น
     3. นับ 2 ให้เปลี่ยนมาเป็นมือซ้ายชู 2 นิ้ว คือ นิ้วชี้กับนิ้วกลาง ส่วนมือขวาก็ใช้นิ้วชี้และหัวแม่มือชี้ขนานกับพื้น
     4. นับ 3 ให้เปลี่ยนมาเป็นชูมือขวา 3 นิ้ว คือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง มือซ้ายก็ให้นิ้วชี้และหัวแม่มือชี้ขนานกับพื้น
     5. นับ 4 ให้เปลี่ยนมาเป็นชูมือซ้าย 4 นิ้ว คือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย ส่วนมือขวาก็ให้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือชี้ขนานกับพื้น
     6. นับ 5 ให้เปลี่ยนมาเป็นชูมือขวา 5 นิ้ว คือ นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย ส่วนมือซ้ายให้นิ้วชี้และหัวแม่มือชี้ขนานกับพื้น
     7. นับ 6 ให้เปลี่ยนมาเป็นชูมือซ้าย ใช้นิ้วหัวแม่มือแตะที่นิ้วก้อย ส่วนมือขวาให้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือชี้ขนานกับพื้น
     8. นับ 7 ให้เปลี่ยนมาเป็นชูมือขวา ใช้นิ้วหัวแม่มือแตะที่นิ้วนาง ส่วนมือซ้ายให้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือชี้ขนานกับพื้น
     9. นับ 8 ให้เปลี่ยนมาเป็นชูมือซ้าย ใช้นิ้วหัวแม่มือ คือแตะที่นิ้วกลาง ส่วนมือขวาก็ให้นิ้วชี้และหัวแม่มือชี้ขนานกับพื้น
     10. นับ 9 ให้เปลี่ยนมาเป็นชูมือขวา ใช้นิ้วหัวแม่มือแตะที่นิ้วชี้ ส่วนมือซ้ายให้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือชี้ขนานกับพื้น
     11. นับ 10 ให้เปลี่ยนมาเป็นกำมือซ้าย ส่วนมือขวาก็ให้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือชี้ขนานกับพื้น


     ท่าที่ 2 จีบ L


     1. ยกมือทั้ง 2 ข้างขึ้นมา ให้มือขวาทำท่าจีบ โดยใช้นิ้วหัวแม่มือประกบกับนิ้วชี้ ส่วนนิ้วอื่นๆ ให้เหยียดออกไป
     2. มือซ้ายให้ทำเป็นรูปตัวแอล (L) โดยให้กางนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ออกไป ส่วนนิ้วที่เหลือให้กำเอาไว้
     3. เปลี่ยนเป็นจีบด้วยมือซ้ายบ้าง ทำเช่นเดียวกับข้อ 1 ส่วนมือขวาก็ทำเป็นรูปตัวแอล (L) เช่นเดียวกับข้อ 2
     4. ให้ทำสลับกันไปมา 10 ครั้ง


     ท่าที่ 3 โป้ง-ก้อย


     1. ยกมือทั้ง 2 ข้างขึ้นมาให้มือขวาทำท่าโป้ง โดยกำมือและยกหัวแม่มือขึ้นมา ส่วนมือซ้ายให้ทำท่าก้อย โดยกำมือและเหยียดนิ้วก้อยชี้ออกมา
     2. เปลี่ยนมาเป็นโป้งด้วยมือซ้ายและก้อยด้วยมือขวา
     3. ให้ทำสลับกันไปมา ๑๐ ครั้ง


     ท่าที่ 4 แตะจมูก-แตะหู


     1. มือขวาไปแตะที่หูซ้าย ส่วนมือซ้ายให้ไปแตะที่จมูก (ลักษณะมือไขว้กัน)
     2. เปลี่ยนมาเป็นมือซ้ายแตะที่หูขวา ส่วนมือขวาไปแตะที่จมูก (ลักษณะมือไขว้กัน)

     ท่าที่ 5 แตะหู


     1. มือขวาอ้อมไปที่หูซ้าย ส่วนมือซ้ายอ้อมไปจับหูขวา

     2. เปลี่ยนมาเป็นมือซ้ายอ้อมไปจับหูขวา ส่วนมือขวาอ้อมไปจับหูซ้าย


3. การผ่อนคลาย


         
ยืนใช้มือทั้ง 2 ข้างประกบกันในลักษณะพนมมือเป็นรูปดอกบัวตูม โดยให้นิ้วทุกนิ้วสัมผัสกันเบาๆ พร้อมกับหายใจเข้า-ออก ทำท่านี้ประมาณ 5-10 นาที


ที่มา : https://sites.google.com/site/exercisemoph/hna-raekkm/brain-gym/kar-brihar-smxng-brain-activity
          http://www.doctor.or.th/article/detail/10955

My Favourite Subject


การใช้ภาษาไทยสำหรับการจัดการเรียนรู้

      จุดประสงค์ของวิชา

               เพื่อให้นิสิตตระหนักถึงคุณค่าความสำคัญ จำเป็น ของการใช้ภาษาไทยสำหรับการจัดการเรียนรู้ มีความรู้ความเข้าใจ ในหลักการใช้ภาษาไทย สามารถใช้ทักษะในการฟัง การพูด การอ่าน การเขียนภาษาไทยเพื่อจัดกระบวนการเรียนรู้ และสื่อความหมายกับนักเรียนได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ฝึกฝนทักษะการใช้ภาษาไทยให้เหมาะสมกับสถานการณ์และรูปแบบการจัดการเรียนรู้ต่างๆ โดยคำนึงถึงผู้เรียนที่มีความสามารถในการเรียนรู้แตกต่างกัน บูรณาการณ์ศาสตร์ด้านการศึกษากับการใช้ภาษาไทยในการสร้างสื่อ/นวัตกรรม/ให้คำปรึกษาแนะแนว ใช้ภาษาไทยในทางสร้างสรรค์ สร้างสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลอื่นๆ มีจิตสาธารณะ ตลอดจนมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ สืบทอด ศิลปะ และวัฒนธรรมทางการใช้ภาษาไทยทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษา รวมทั้งการปกครองระบอบประชาธิปไตยและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง


วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2559

ห้องเรียนในศตวรรษที่ 21

          ในปัจจุบัน การเรียนการสอนในโรงเรียนไทยจะเน้นการเรียนในวิชาต่างๆ โดยใช้สาระวิชาและมาตรฐานสาระการเรียนรู้เป็นตัวควบคุมพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนด้วยตัวชี้วัดหรือผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง การสอนของครูไทยโดยส่วนมากจะเน้นการเรียนการสอนในห้องเรียน และใช้เป็นตัววัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาด้านวิชาการ ซึ่งสิ่งที่ขาดหายไปคือการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน การพัฒนาคุณค่าที่จะส่งผลต่อการเรียน การดำเนินชีวิต และการทำงานในอนาคต

         การเรียนรู้ของนักเรียนที่เกิดจากการเรียนรู้แบบเดิมๆ คือมีสถานที่ที่จำกัดแต่เฉพาะในห้องเรียน และมีสัดส่วนครูกับนักเรียนที่มากเกินไป ซึ่งไม่เหมาะกับบรรยากาศการเรียนรู้ที่จะเน้นเป็นรายบุคคล ดังนั้น ห้องเรียนในศตวรรษที่ 21 จึงเป็นที่สนใจในสถาบันการศึกษาทั่วทั้งโลก ซึ่งจะมีการปรับปรุงการเรียนการสอนอย่างบูรณาการ และมี นวัตกรรมใหม่ๆ ทางด้านเทคโนโลยี โดยการใช้ระบบเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Socail network) มาสนับสนุนการเรียนรู้ และการบริหารจัดการทางด้านวิชาการ บุคคล งบประมาณ และการบริหารทั่วๆ ไปเพื่อพัฒนาคุณภาพเด็กยุคใหม่ด้วยสารสนเทศรอบด้าน


ห้องเรียนแห่งอนาคตผู้เรียนได้เรียนรู้อะไร?

          ความคิดสร้างสรรค์ หรือจินตนาการทางด้านความคิด (Creative) เพราะเนื่องจากในปัจจุบัน หลายประเทศได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทางด้านความคิดสร้างสรรค์เป็นอย่างมาก เพราะความคิดสร้างสรรค์สามารถสร้างคุณค่าและความได้เปรียบทางการแข่งขันเป็นอย่างมาก แต่ในประเทศไทยนั้น การศึกษาของบ้านเรายังเน้นการท่องจำ เน้นการเรียนเพื่อนำไปสอบ จึงไม่สามารถทำให้เด็กไทยมีความคิดสร้างสรรค์ได้เท่าที่ควร ดังนั้น ห้องเรียนดังกล่าวจึงออกแบบหลักสูตรให้เหมาะสมกับสภาวะสังคมแห่งอนาคต โดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบ Creative Based Learning ซึ่งได้รับการทดสอบมาแล้วตั้งแต่ปี 2554 ให้นักเรียนได้เรียนรู้แบบสร้างสรรค์ คิดและแสดงออกแบบสร้างสรรค์ โดยการค้นคว้า การแสดงออก และการนำเสนอ นอกจากนั้น ผู้เรียนยังได้รับความสนุกสนานจากการฝึกความคิดสร้างสรรค์ ด้วยเกมส์ที่พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ เช่น เกมส์มองหลากมุม เกมส์คำตอบดีมีมากมาย เป็นต้น

          การสื่อสาร (Communication) ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งของเด็กไทยคือการที่เด็กไทยไม่กล้าที่จะแสดงออก ขี้อาย กลัวว่าสิ่งที่ตัวเองตอบจะผิด ซึ่งเป็นกรอบการเรียนที่พบเจอในปัจจุบัน ในขณะที่ต่างประเทศกำลังให้ความสำคัญกับการสื่อสารเป็นอย่างมาก

          แรงบันดาลใจ (Inspiration) หากเราเคยได้ยินบุคคลในสาขาอาชีพต่างๆ ที่ประสบความสำเร็จเล่าให้เราฟังถึงประสบการณ์ที่ผ่านมา เราจะพบว่าคนเหล่านั้นไม่ได้อะไรมาง่ายๆ ส่วนมากเริ่มจากศูนย์ ต้องใช้ความมุ่งมั่น ความพยายาม อดทนต่อความลำบาก ต่อสู้กับปัญหาต่างๆ มากมาย กว่าจะสำเร็จและสุขสบายได้เช่นทุกวันนี้



         ผลที่เกิดจากการประยุกต์ใช้งานอินเทอร์เน็ต ซึ่งกำลังเริ่มเปลี่ยนสังคมและเศรษฐกิจโลกไปทีละเล็กละน้อยนี้ หลายคนอาจจะไม่ได้สังเกตว่าเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตมีบทบาทอย่างมากต่อรูปแบบการเรียนการสอน อีกทั้งยังมีบทบาทในการทำงาน และนับวันจะมีบทบาทมากขึ้นต่อการดำเนินชีวิต ส่งผลให้องค์กรแต่ละแห่งต้องคิดทบทวนเกี่ยวกับรูปแบบและวิธีดำเนินงานในปัจจุบัน ด้วยการนำเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตมาช่วยงาน อันจะนำไปสู่การปรับปรุงและการพัฒนา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบัติงานให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งอนาคต

          (ที่มา: http://www.jsfutureclassroom.com/news_detail.php?nid=305)


ความหมายเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา


เทคโนโลยีการศึกษา 

          หมายถึง การนำเอาเทคนิคใหม่ ๆ ทางวิทยาศาสตร์ มาใช้จัดการข้อมูลทางการศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อวงการศึกษา หรือการนำกระบวนการนำเอาเทคนิค วิธีการ วัสดุ อุปกรณ์ มาใช้ในการแก้ไขปัญหาทางการ ศึกษา เพื่อการวิเคราะห์ปัญหา การประดิษฐ์/สร้าง การปรับใช้ การประเมิน และการจัดการต่อ ปัญหาทั้งหมดที่เกี่ยวกับการเรียนรู้

          (ที่มา: http://ahejacom.exteen.com/page-3)


ความหมายนวัตกรรมการศึกษา





นวัตกรรมการศึกษา (Educational Innovation) 

          หมายถึง นวัตกรรมที่จะช่วยให้การศึกษา และการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิผลสูงกว่าเดิม เกิดแรงจูงใจในการเรียนด้วยนวัตกรรมการศึกษา และประหยัดเวลาในการเรียนได้อีกด้วย ในปัจจุบันมีการใช้นวัตกรรมการศึกษามากมายหลายอย่าง ซึ่งมีทั้งนวัตกรรมที่ใช้กันอย่างแพร่หลายแล้ว และประเภทที่กำลังเผยแพร่ เช่น การเรียนการสอนที่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Aids Instruction) การใช้แผ่นวิดีทัศน์เชิงโต้ตอบ (Interactive Video) สื่อหลายมิติ ( Hypermedia ) และอินเทอร์เน็ต [Internet] เหล่านี้ เป็นต้น


          (ที่มา: https://www.l3nr.org/posts/532535)


ความหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ

       
          คำว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ เกิดจากการนำคำว่า เทคโนโลยี และ สารสนเทศ มารวมกันจะ ได้เป็นเทคโนโลยีสารสนเทศ

เทคโนโลยี + สารสนเทศ = เทคโนโลยีสารสนเทศ


เทคโนโลยี (Technology) หมายถึง วิธีการปฏิบัติ ที่มีการจัดลำดับอย่างมีรูปแบบและขั้นตอน เพื่อที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพ ในเรื่องของความรวดเร็ว ความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง เป็นต้น


 



สารสนเทศ (Information) หมายถึง ข้อมูลดิบ ที่ได้ผ่านการประมวลผล จากคอมพิวเตอร์มา แล้ว คือผ่านการคำนวณ การจัดเรียง การเปรียบเทียบ เป็นต้น ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อผู้ที่เกี่ยวข้องได้

          เมื่อนำคำว่า "เทคโนโลยี" และ "สารสนเทศ" มารวมกัน

เทคโนโลยีสารสนเทศ จึงหมายถึง วิธีการปฏิบัติที่มีการจัดลำดับอย่างมีรูปแบบและขั้นตอน เพื่อที่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพ ในเรื่องของความรวดเร็ว ความน่าเชื่อถือ ความถูกต้องซึ่งเป็นเทคโนโลยี ที่มีการนำคอมพิวเตอร์ การสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสำหรับการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม มาทำงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนสารสนเทศ โดยนำข้อมูลป้อนเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ และทำการประมวลผลเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ


          (ที่มา: http://www.thaigoodview.com/library/contest2552/type2/tech03/06/__3.html)

ความหมายของนวัตกรรม


นวัตกรรม

          หมายถึง การกระทำสิ่งใหม่ ๆ ที่สร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็น Product (ผลิตภัณฑ์) Process (กระบวนการ)  และ Service (บริการ)


นวัตกรรม (Innovation) เป็นคำที่คณะกรรมการพิจารณาศัพท์วิชาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
บัญญัติขึ้น  เดิมใช้ นวกรรม มาจากคำกริยาว่า Innovate มาจากรากศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Inovare (in(=in)+novare= to renew, to modify) และ novare มาจากคำว่า novus (=new)

Innovate แปลตามรูปศัพท์ได้ว่า "ทำใหม่ , เปลี่ยนแปลงโดยนำสิ่งใหม่ ๆ เข้ามา "
Innovation = การทำสิ่งใหม่ ๆ หรือสิ่งใหม่ ๆ ที่ทำขึ้นมา (International Dictionary)
(ที่มา: http://www.st.ac.th/av/inno_mean.htm)